วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

พระทรง เหนื่อยยาก แต่ไทยจมปลักลงทุกที5


6 มีนาคม 2538
พระเจ้าอยู่หัวทรุดพระองค์ขณะทรงออกกำลังกาย

ต้อง
เข้าโรงพยาบาลศิริราชด้วยอาการเส้นเลือดหัวใจตีบ มีข่าวลือว่าอาจสิ้นพระชนม์ซึ่งเกินกว่าที่วังจะรับได้ เพราะไม่รู้ว่าใครจะได้เป็นพระเจ้าอยู่หัวองค์ต่อไป ต้องทรงประทับในโรงพยาบาลหลายสัปดาห์หลังแพทย์ถวายการผ่าตัด แต่พระองค์ก็ยังทรงออกโทรทัศน์ทุกวัน เสด็จเยี่ยมพระราชชนนีและทรงมีรับสั่งเรื่องการจราจรต่อเจ้าหน้าที่ แสดงถึง พระอุตสาหะวิริยะ เหนือมนุษย์ของพระธรรมราชา ประชาชนราว 2,000 คนได้ร่วมการอธิษฐานหมู่ที่สนามหลวงเพื่อให้ทั้งสองพระองค์หายจากประชวร พระสังฆราชทรงนำพระ 999 รูป

สวดมนต์ถวายแด่พระเจ้าอยู่หัว สามสัปดาห์หลังเสด็จออกจากโรงพยาบาลเสด็จออกโทรทัศน์พร้อมกับพระราชวงศ์ ทรงอธิบายความเจ็บป่วยและทรงพระดำเนินไปรอบๆห้องโถงใหญ่ครบเจ็ดรอบ เท่ากับหนึ่งกิโลเมตร ทรงอธิบายว่าการประชวรเป็นผลจากการติดเชื้อในปี
2525 จากการทรงพระโอสถมวน(สูบบุหรี่)ซึ่งทรงเลิกไปแล้วตั้งแต่ปี 2530 และจากการเสวยน้ำจัณฑ์(ดื่มเหล้า)ซึ่งตอนนี้พระองค์ทรงหันมาเสวยน้ำจัณฑ์อย่างพอเพียง(คงไม่ได้เป็นแบบหัวราน้ำอย่างแต่ก่อน)

ซึ่งคนไทยไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน ทรงอ้างว่าเป็นเพราะพระองค์ต้องทรงงานเป็นเวลาห้า

ถึงหกชั่วโมงในคราวเดียวโดยไม่มีการหยุดพัก พระองค์แทบไม่ได้ทรงออกกำลังกาย และทรงมีความเครียดสูงซึ่งหมายความว่าอาการประชวรของพระองค์เป็นเพราะทรงแบกรับภารกิจเพื่อความสมบูรณ์พูนสุขของพสกนิกร ถือได้ว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นอีกจนได้ แต่รับสั่งว่าแพทย์ประจำพระองค์ได้รับประกันกับพระองค์ว่าจะยังทรงมีพระชนมชีพอยู่ต่อไปได้อีก
25 ปี ซึ่งนานพอที่จะทำให้โครงการพระราชดำริต่างๆได้บรรลุเสร็จสิ้น


ส่วนพระราชชนนีกลับมีพระอาการทรุดลงและสิ้นพระชนม์ในวันที่
18 กรกฎาคม 2538

แต่การสิ้นพระชนม์ของพระราชชนนีกลับทำให้ทรงมีความสำคัญยิ่งกว่าตอนมีพระชนมชีพเสียอีก แม้จะทราบกันดีว่าพระราชชนนี ไม่ได้ทรงมีบทบาท ต่อประชาชนนัก ทรงประทับที่สวิตเซอร์แลนด์จนสิ้นปี
2530 และหลังจากเสด็จมาประทับเมืองไทยก็แทบจะไม่เคยเสด็จนอกพื้นที่ดอยตุงเลย แต่นิตยสารต่างๆก็ช่วยกันลงภาพพระราชชนนีปลูกไม้ดอกและเย็บปักถักร้อย และความคิดของพระองค์เรื่องพระพุทธศาสนา

ทางวังได้ถวายพระยศของพระราชชนนีเทียบชั้นสมเด็จพระนางเจ้าผู้สืบเชื้อสายมาจากพระราชสกุลร่วมประทับบนหิ้งของสถาบันเจ้า

พระเจ้าอยู่หัวทรงกำหนดให้มีการไว้ทุกข์พระบรมศพเป็นเวลา
100 วัน

ข้าราชการถูกขอให้แต่งดำไว้ทุกข์
15 วัน พระสังฆราชนำการทำบุญที่สนามหลวง พระสรีระของพระราชชนนีได้รับการสรงชำระตามแบบพราหมณ์ในพระบรมมหาราชวัง ในหลวงและพระราชินีทรงพรมน้ำมนต์ลงบนพระสรีระของพระราชชนนี และในหลวงทรงสวมชฎาบนพระเศียรของพระราชชนนี โกศประดับอัญมณีบรรจุพระบรมศพตั้งอยู่ในท้องพระโรงเพื่อรับการถวายความเคารพ พระโกศประดิษฐานภายใต้พระเศวตฉัตรเจ็ดชั้น อันสงวนไว้สำหรับเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงสุด ยกเว้นองค์พระมหากษัตริย์เท่านั้นที่มีเก้าชั้น

ทางวังได้จัดมหกรรมการสดุดีสรรเสริญพระเกียรติคุณอย่างเต็มที่

หน่วยงานราชการได้จัดงานรำลึกพระมหากรุณาธิคุณ สถานีตำรวจทุกแห่งถูกสั่งให้จัดพิธีทำบุญในวันครบเจ็ดวัน ห้าสิบวันและร้อยวัน ทางการตำรวจได้ถวายยศพลตำรวจเอกแด่พระราชชนนี ตำรวจตระเวนชายแดนเตรียมสร้างอนุสาวรีย์ของพระราชชนนีในค่าย ตชด
.ทุกแห่ง พระญาติพระวงศ์รับเป็นเจ้าภาพสวดพระอภิธรรมพระศพในแต่ละวัน โดยรัฐบาลกระตุ้นกลุ่มอื่นๆช่วยผลัดกันเป็นเจ้าภาพในวันหลังๆ ต่อมาได้มีการขยายระยะเวลาการไว้ทุกข์ออกไปอีกโดยไม่มีกำหนด ทำให้หน่วยงานราชการ บริษัทหัางร้านและกลุ่มสมาคมต่างๆ ต้องผลัดกันมาเป็นเจ้าภาพ

โดยให้คนในสังกัดมานั่งร่วมพิธีเบื้องหน้าพระโกศ

พสกนิกรได้มีโอกาสเฝ้าชมพระบารมีของพระเจ้าอยู่หัวและพระราชินีได้อย่างใกล้ชิดและยาวนาน ขณะทรงกำลังสวดมนต์หรืออาจเห็นในหลวงทรงคร่ำเคร่งกับการแก้ไขปัญหาจราจร งานพระบรมศพนี้ได้ดำเนินไปตลอดทั้งปีที่เหลือ หนังสือพิมพ์บางกอกโพสท์รายงานว่าในวันที่
19 กรกฎาคม 2538 ก่อนพิธีรดน้ำศพ ท้องฟ้าที่มืดครึ้มก็มีฝนตกลงมา ราวกับจะบอกว่าเทพยดาฟ้าดินได้รับรู้การเสด็จจากไปของพระราชชนนีและร่วมทุกข์โศกกับประชาชนด้วย พระพิพิธธรรมสุนทรแห่งวัดสุทัศน์บอกว่าท่านได้ยินมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าอยู่หัวเองว่าห้าปีก่อนสิ้นพระชนม์ พระราชชนนีตรัสว่าทรงรู้สึกเหนื่อยและพร้อมจะจากโลกนี้ไป

ทำให้ในหลวงทรงหวนนึกถึงพระพุทธเจ้าที่ได้ตรัสต่อพระสาวก

ว่าพระองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพานภายในสามเดือน พระเจ้าอยู่หัวจึงได้ทรงขอนิมนต์ให้พระราชชนนีได้ทรงพระชนมชีพต่อไปเพื่อเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรแก่พระโอรสพระธิดาและพสกนิกรชาวไทยต่อไป และสมเด็จพระราชชนนีก็ทรงพระมหากรุณาอุตส่าห์ดำรงพระชนมชีพต่อมาอีกเป็นเวลาตั้งห้าปี ในหลวงยังได้ทรงเล่าให้ฟังอีกว่า เมื่อพระราชชนนีสิ้นพระชนม์ ในหลวงกับเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาได้ทรงจับพระหัตถ์ของพระราชชนนีไว้ เมื่อพระองค์ทรงนึกถึงสิ่งที่ยังไม่ได้ทรงบอกกล่าวแก่พระราชชนนี เครื่องนั้นก็แสดงการเต้นของพระหทัยของพระราชชนนีอีกครั้งอย่างปาฏิหาริย์

เมื่อพระธิดาของเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาเข้ามาและจับพระหัตถ์ของพระราชชนนี

ปรากฏว่าชีพจรของพระนางก็กลับมาเต้นอีกครั้ง เข้าใจว่าพระราชชนนีกำลังทรงกล่าวคำอำลาเป็นเรื่องปาฏิหารย์ประเภทผีสางที่พระพิพิธธรรมสุนทรอ้างว่าในหลวงทรงเล่าให้ท่านฟัง อาจจะเป็นการสดุดีว่าพระราชชนนีมิใช่คนธรรมดาสามัญ แม้สิ้นลมก็ยังทรงแสดงปาฏิหารย์ได้


1 ความคิดเห็น:

  1. ทุกพระองค์คือเทพบนโลกมนุษย์ที่สถิตย์อยู่บนแผ่นดินไทย

    ตอบลบ